ไทย vs กิมจิ พิมพ์ไหนชนะ (กรุงเทพธุรกิจ)
เซอร์เวย์กระแสศัลยกรรมความงาม แพทย์เผยสไตล์กิมจิแรงสุด ลูกค้าแห่ถือรูปดาราเกาหลีสวยตามสั่ง สาวไทยกระเป๋าหนักจ่อคิวสวยถึงโซล
เมื่อผู้หญิงกับความสวยงามเป็นของคู่กัน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นบรรดาคุณเธอทั้งหลาย
"ทุ่มทุนสร้าง"เพื่อเนรมิตตัวเองให้งามอย่างที่ใฝ่ฝัน เสื้อผ้าหน้าผม รวมทั้งกลเม็ดเด็ดพราย ต่างถูกงัดขึ้นมาใช้เพื่อเสริมตัวเองให้ดูงามขึ้นแทบ ทั้งนั้น กระทั่งลงทุน เจาะ เคาะ กรีด ผ่า แต่ถ้าสวยได้อย่างใจ สาวเจ้าก็จะทำ
จากยุคหนึ่งของการทำศัลยกรรมที่เคยมีพิมพ์นิยมเป็นดาราดังอย่าง
"นิ้ง กุลสตรี"เป็นต้นแบบความสวยหวาน ให้สาวไทยซึ่งฝันอยากจะสวยด้วยแพทย์ยึดเป็นต้นฉบับสำหรับอ้างอิงให้คุณหมอ ช่วยจัดการลงมีดเนรมิตใบหน้าให้ละม้ายคล้ายหรือเหมือนได้ก็ยิ่งดี
เทรนด์ความสวยมีอันต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยส่งไม้ต่อมายัง "อั้ม พัชราภา" ไต่อันดับขึ้นมาเป็นความสวยที่สาวไทยใฝ่ฝัน
นอกจากความเป็นนางเอกอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยแล้ว อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้อั้มครองตำแหน่งพิมพ์นิยมอย่างยาวนาน ก็เพราะหน้าสวย ๆ สไตล์อั้มนี่แหละที่ครองตำแหน่งสาวเซ็กซี่ในฝันของชายไทยมาแล้วจากหลายต่อ หลายสถาบันต่อเนื่องกันหลายปี
ย้อนตำนานสวยสั่งได้
ภาพความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติเรื่องความสวยของสาวไทย เมื่อมองผ่านความต้องการในการทำศัลยกรรมนั้น นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี ต้นตำรับสวยด้วยแพทย์ของเมืองไทย ลำดับภาพการเปลี่ยนแปลงให้ฟังว่า
ความอยากสวยในยุคแรกของสาวไทยซึ่งเดินมาขอให้แพทย์แปลงโฉมให้นั้น เป็นความสวยที่ตั้งอยู่บนความเป็นไปได้ โดยจะทำการบ้านหาข้อมูลมาแล้วพอสมควร ก่อนที่จะมาพบแพทย์เพื่อแจ้งความต้องการ
"สิ่งแรกที่คนพวกนี้มองหาคือ ดาราต้นแบบซึ่งมีโครงหน้าใกล้เคียงกันกับโครงหน้าของตัวเอง โดยเปิดหาเอาจากนิตยสาร ดูว่าดาราคนไหนมีเค้าหน้าใกล้เคียงตัวเขามากที่สุด ถ้าโครงหน้าตัวเองคล้ายกับนางเอกคนไหน ก็พอจะจินตนาการออกได้ว่าถ้าทำตาเสียหน่อย เหลาจมูกอีกนิด ก็มีโอกาสที่จะสวยแบบนั้นได้เหมือนกัน"
นี่คือเทรนด์สวยสั่งได้ในยุคแรกของเมืองไทย ซึ่งมาบนพื้นฐานของความเป็นไปได้
แต่เมื่อคนไทยรู้จักและคุ้นเคยกับเรื่องศัลยกรรมตกแต่งมากขึ้น ก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วหมอทำได้มากกว่านั้น เรื่องจึงกลับกลายเป็นว่า ความสวยยกระดับไปสู่จินตนาการที่ไร้ขอบเขต
"คนไข้ยุคถัดมาเป็นประเภทจินตนาการเต็มที่ เพราะคิดว่าหมอทำได้ทุกอย่าง บางคนหน้ากางรูปสี่เหลี่ยมตาเล็กนิดเดียวดั้งก็ไม่มี แต่เดินมาพร้อมกับรูปดาราฝรั่งตาโต โครงหน้าเรียวผอมมาเลย บอกว่าจะเอาแบบนี้ หมอก็ทำให้ไม่ได้ ในเมื่อชั้นผิวของคนไข้รายนั้นไม่เพียงพอ จะเอาจมูกโด่งเปี๊ยบแบบฝรั่ง โดยไม่ได้ดูเลยว่าผิวตัวเองยืดได้มากพอไหม ซึ่งพอเจอแบบนี้หมอก็ต้องปรับลดความต้องการลงมาให้เจอกันตรงกลาง"
สิบปีที่ได้พบเจอสาว ๆ ผู้มีฝันและความหวังอยากจะสวยด้วยมือแพทย์นั้น ไม่ว่านิยามความสวยจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน แต่ นพ.สุพจน์ บอกว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือ ดารา นักร้อง คนดังทั้งหลาย ยังคงเป็นต้นแบบให้สาวๆ ใช้ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเพื่อบอกความต้องการแก่แพทย์อยู่ดี
นาทีนี้แม้ว่าความสวยสไตล์คมเฉี่ยวอย่างอั้มจะยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ความ สวยนิยามใหม่ ประเภท "ตาโต หน้าแบ๊ว" แบบนางเอกเกาหลี ก็กำลังเป็นอีกหนึ่งพิมพ์นิยมที่มาแรง และกลายมาเป็นไอดอลสุดฮิตอันดับต้น ๆ ของสาวไทยเมื่อคิดอยากจะทำศัลยกรรม
แถมยังเกิดความเชื่อที่ว่า ถ้าจะทำหน้าแบบเกาหลี ก็ควรไปทำถึงประเทศต้นตำรับ แล้วจะได้ความสวยบล็อกเดียวกับนางเอกดังแบบไม่ผิดเพี้ยน พร้อมกับมีคำกล่าวอ้างต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าหมอเกาหลีมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าหมอไทย
ข้อหานี้ นพ.สุพจน์ ได้ยินแล้วถึงกับปฏิเสธในทันที โดยบอกว่าโดยหลักการแล้ว ความแตกต่างระหว่างการทำศัลยกรรมของหมอไทยและเกาหลีนั้น แทบจะไม่มีเลย
"ในแง่เทคนิค การทำศัลยกรรมโดยหมอไทยกับหมอเกาหลีแทบไม่ต่างกัน ยิ่งถ้ามาวัดกันที่ฝีมือแล้ว ผมว่าหมอไทยเหนือกว่าด้วยซ้ำ แต่สาเหตุที่มีคนไทยบินไปทำศัลยกรรมถึงประเทศเกาหลีมากขึ้นนั้น ก็เป็นเพราะกระแสเกาหลีที่กำลังมาแรง แถมภาครัฐส่งเสริมและสังคมก็เปิดกว้าง โดยรัฐบาลเกาหลีเองได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะขับเคลื่อนวงการแพทย์เกาหลี ก้าวขึ้นสู่การเป็น Medical Hub อยู่แล้ว จึงทำให้มีการสนับสนุนทั้งเม็ดเงินพัฒนาวิจัย ทั้งเปิดช่องให้ทำการตลาดได้หลากหลายกว่าไทย"
ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรา แม้ว่าคนไทยจะยอมรับเรื่องการทำศัลยกรรมมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ทัศนคติโดยรวมของสังคม ก็ยังมองว่าเรื่องเหล่านี้คือสิ่งฟุ่มเฟือยอยู่ดี
เมื่อเปรียบมวยกันในด้านเทคนิคและฝีมือแล้วจะเห็นว่าไม่เป็นรองกัน แถมทำในไทยยังถูกกว่าเกาหลีราวเท่าตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่มักได้ยินทั้งคำถาม คำบ่น ปนหมั่นไส้ว่า ทำไมสาวไทยหลายคน ต้องบินไกลถึงต่างแดนเพื่อหอบเงินแสนไปให้หมอชาวกิมจิ ผ่าตัดเสริมสวยให้ ทั้ง ๆ ที่หมอไทยเองก็ขึ้นชื่อนักหนา ถึงฝีมือและความประณีตชนิดติดอันดับโลก แถมราคาก็ยังถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง
นพ.สุพจน์ เฉลยให้ฟังว่าทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพราะ "ค่านิยม"
เกาหลี พิมพ์นี้สวยธรรมชาติ
เมื่อเรื่องของเทคนิคตกไป โดยมีคำว่า
"สไตล์" เข้ามาแทนที่ เชื่อว่าหลายคนคงผุดคำถามขึ้นในใจคล้ายกันว่า สวยสไตล์เกาหลีนั้นเป็นอย่างไร หน้า-ตา-จมูก-ปาก ต่างจากพิมพ์ไทยมากน้อยขนาดไหน
หนูแหวน หรือ
"แหวนแหวน" ปวริศา เพ็ญชาติ หนึ่งในผลิตผลจากมีดหมอเกาหลี ก่อนจะเข้าสู่ธุรกิจใหม่ถอดด้ามอย่างทัวร์ศัลยกรรม ส่งสาวไทยไปทำสวยที่เกาหลีอย่างเต็มตัว ในนามบริษัท ซีอาร์พี เอเชีย ร่วมกับพาร์ทเนอร์ชาวเกาหลี ขออาสาตอบคำถามนี้
ทั้งด้วยในฐานะสาวไทยคนแรก ๆ ที่ยอมขึ้นเขียงให้หมอเกาหลีผ่าตัดเสริมจมูก และด้วยฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจทัวร์ศัลยกรรมเจ้าแรกและเจ้าเดียวของประเทศไทยในปัจจุบัน
"สวยน่าเอ็นดู" คือ นิยามความสวยฉบับเกาหลี ซึ่ง "แหวนแหวน" ผู้คลั่งไคล้ในประเทศเกาหลีสรุปให้ฟัง
"เวลาเราดูนางเอกเกาหลี ก็จะเห็นเค้าสวยจังเลย ตาโตแล้วก็เป็นชั้นเล็ก ๆ ส่วนจมูกก็โด่งแต่ไม่ได้ปลายเชิด คือปกติเวลาใส่จมูกแล้วปลายมันจะเชิด ๆ เหมือนจมูกหมู แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น เราก็เอ๊ย ทำไมนางเอกเกาหลีน่ารักจัง คือสวยธรรมชาติ ประหนึ่งเกิดมาแล้วสวยแบบนี้เลย ซึ่งเราก็มารู้ทีหลังว่านี่คือสไตล์ของการทำศัลยกรรมที่นั่น"
จุดนี้แหวนแหวน มองตรงกันข้ามกับ นพ.สุพจน์ ว่าสวยแบบเกาหลีนั้น อย่างไรเสียหมอไทยก็ไม่น่าจะทำได้
"ถ้าถือรูปนางเอกเกาหลีไปให้หมอไทยทำให้ แหวนตอบตรง ๆ เลยนะว่าทำแล้วไม่เหมือนแน่ ๆ แหวนไม่ได้บอกว่าหมอไทยไม่เก่ง เพราะจริง ๆ หมอไทยฝีมือดีระดับโลกอยู่แล้ว เพียงแต่นี่คือเรื่องของเทคนิค ที่เกิดจากการคิดค้นของหมอที่ประเทศเกาหลีเอง"
พร้อมกับยกตัวอย่างเรื่องการทำตาว่า ถ้าเป็นบ้านเราทำตาคือกรีดตาสองชั้น แต่ที่เกาหลีจะไม่ใช่ ที่เห็นว่านางเอกเกาหลี ตาโตนั้น ให้สังเกตว่าชั้นตาจะเล็กมาก แต่ทำไมตาถึงดูโต แหวนแหวนอธิบายว่านั่นเป็นเพราะจริง ๆ แล้ว หมอไม่ได้กรีดที่เปลือกตาอย่างเดียว แต่มีเทคนิคเย็บกล้ามเนื้อที่บังคับการเปิดปิดเปลือกตาร่วมด้วย โดยจะกรีดตาเพียงนิดเดียว ประมาณ 5 มิลลิเมตร แถมยังไม่ได้ทำแค่ตาสองชั้นเท่านั้น เพราะหมอที่นั่นทำได้ถึงขั้นเปลี่ยนรูปทรงตาอีกด้วย
เทคนิคขั้นเทพ
ด้วยความที่การทำศัลยกรรมเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างในประเทศเกาหลี โดยมองว่านี่คือการลงทุนให้กับตัวเอง เพื่ออนาคตหน้าที่การงานที่จะมีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้น จึงทำให้คนหนุ่มสาวส่วนมากตัดสินใจผ่าตัดเปลี่ยนรูปโฉม จนทำให้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมนี้ทวีจำนวนขึ้นเป็นมหาศาล
โดยจำนวนของหมอศัลยกรรม เฉพาะที่กรุงโซลเมืองเดียวพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วงเวลาแค่ 5 ปี คือ นับจากปี ค.ศ.2000 มาจนถึง ค.ศ.2005 นั้น ปรากฏว่ามีหมอศัลยกรรมมากขึ้นถึง 45 เปอร์เซ็นต์ จาก 926 คนมาสู่ 1,344 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันกับ จำนวนหมอศัลยกรรมที่เมืองแคลิฟอร์เนีย อันเปรียบได้กับเมืองหลวงของคนอยากสวยที่สหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
ขณะที่ทัศนคติเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมของคนเกาหลีนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดาคล้ายกับตื่นมาแล้วบอกว่าจะไปเดินชอปปิ้ง โดยมีผลวิจัยบอกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มอายุ 18-24 ปี และ 60 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนอายุ 25-29 ปี เคยผ่านมีดหมอศัลยกรรมมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
นั่นย่อมเท่ากับเม็ดเงินมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ส่งเสริมให้มีการพัฒนาวิจัยต่อเนื่อง ตามโรดแมปที่ต้องการจะเป็น Medical Hub อยู่แล้ว จึงอำนวยให้มีการคิดค้นวิธีการต่าง ๆ นานา เกิดเป็นเทคนิคละลานตาซึ่งแพทย์ชาวเกาหลีคิดค้นขึ้นมาได้
"อย่างการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปเพื่อลดกรามให้หน้าเล็กลง ก็เริ่มต้นขึ้นที่เกาหลี ไม่ใช่อเมริกาอย่างที่หลาย ๆ คนคิดกัน ส่วนเรื่องทำจมูกที่เกาหลีก็จะใช้วัสดุที่เรียกว่ากลอเท็กซ์ ซึ่งแพงกว่าซิลิโคนเยอะมาก แต่ก็นิ่มมาก มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมชาติ โดยนิ่มเหมือนเป็นกระดูกอ่อนได้เลย แล้วก็ใส่ยาวลงมาถึงปลายเลย ปากนางเอกเกาหลีเลยออกจะเชิดเล็กน้อย ซึ่งก็กลายเป็นดูน่ารักไปอีกแบบ แต่กลอเท็กซ์ก็มีข้อเสีย หากว่าคิดเปลี่ยนใจอยากเอาออกตอนหลังก็จะลำบากกว่าซิลิโคน" แหวนแหวนอธิบาย
สวยราคาโซล.. โซล
สำหรับสาวไทย ที่อยากจะไปขึ้นเขียงให้หมอเกาหลีแปลงโฉมผ่านทัวร์อย่างที่บริษัทแหวนแหวนทำ อยู่นั้น สำหรับตาและจมูกราคาขั้นต่ำ จะอยู่ที่ 140,000 บาท สำหรับคนที่ไม่เคยผ่านมีดหมอเลย แต่โดยทั่วไปแล้วราคาจะเฉลี่ยที่ 250,000 บาท และจะอัพขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามแต่เคสความยาก และ ความหรูของการเป็นอยู่ที่ลูกค้าต้องการ
เพราะแพ็คเกจทัวร์ที่จัดขึ้นจะรวมตั้งแต่ค่าเดินทาง ที่พัก อาหารการกิน ค่าทำศัลยกรรม จนถึงบริการหลังจากผ่าตัด (After Care) ที่เมืองไทย ซึ่งทั้งหมดนั้น แล้วแต่ลูกค้าจะดีไซน์ความต้องการเองว่าอยากได้ขนาดไหน
ที่เคยจ่ายแพงสุดนับตั้งแต่เปิดบริษัทมามีลูกค้าผ่านมือแล้วเกือบ 40 รายนั้น แหวนแหวนเล่าว่ามีอยู่หนึ่งเคสที่หมอคิดแพงมาก เพราะเคยทำตาและจมูกมาแล้วหลายครั้ง ทำให้คุณหมอแก้ยากขึ้น แถมยังซื้อแพ็คเกจแบบส่วนตัว คือไปคนเดียว เบ็ดเสร็จเช็คบิลมา ราคาอยู่ที่ 850,000 บาท
โดยแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกสะเก็ดขนาดไหน แหวนแหวนบอกว่า ธุรกิจนี้คงไปได้อีกยาว เพราะอย่างไรเสีย ผู้หญิงก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยความงามอยู่ดี ล่าสุดแง้มให้ฟังว่ามีสาว ๆ ไทยจองคิวรอจะร่วมขบวนกับแหวนแหวนอีกไม่ต่ำกว่า 80 ราย
แต่สำหรับคนที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตเพื่อการนี้ เพียงแค่เพราะอยากสวยนั้น แหวนแหวนไม่แนะนำให้ไปทำ เพราะค่าใช้จ่ายสูง โดยเงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นกว่าได้อีกมาก
"แหวนว่า เรื่องการทำศัลยกรรมที่เกาหลีนี่ถ้าไม่พร้อมเรื่องเงินจริง ๆ อย่าทำดีกว่า เสียดายเงิน แต่ถ้าคิดจะเสริมบุคลิกเพื่อช่วยเรื่องหน้าที่การงาน สำหรับคนที่ต้องใช้หน้าตาทำมาหากินนั้น ถ้าจ่ายไหว ก็โอเค เพราะยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ จะลงทุนทำทั้งที หลายคนยอมจ่ายแพงไปเลย เพื่อแลกกับความชัวร์ ก็น่าจะดีกว่าทำแล้วไม่พอใจหรือต้องมาเสียเงินเสียเวลาแก้ทีหลัง"
พูดถึงว่าเริ่มต้นที่ 140,000 บาทแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นราคาขั้นต่ำหรือขั้นสุด ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่าไม่ใช้เงินน้อย ๆ เลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพบ้านเรา หากว่าเงินในกระเป๋าไม่พร้อมถึงขั้นนั้น ลองพับแผนตาโตหน้าแบ๊วใส่กระเป๋า และงัดเอารายชื่อโรงพยาบาล คลินิค รับทำศัลยกรรมในไทยซึ่งมีอยู่นับร้อยแห่ง ขึ้นมาพิจารณาแทนก็น่าจะได้
เมื่อเวลายังหมุนเปลี่ยน ความรักชอบ ค่านิยมของคนเราย่อมเปลี่ยนได้ด้วยเช่นกัน ใครจะรับประกันได้ว่านิยามความสวยวันนี้จะยังเป็นเทรนด์ในวันพรุ่งนี้และตลอดไป พร้อมจะลงทุนขนาดไหน เรื่องอย่างนี้คงต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน
ต้นฉบับความสวย
สำหรับดวงตา ซึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ของคนที่ทำศัลยกรรมนั้นได้ยกให้ ตา ของนางเอกสาวหวานอย่าง คิมแตฮี เป็นที่ใฝ่ฝันของสาว ๆ เกาหลีมากที่สุด พร้อมกับยกให้จมูกของสาว ฮันกาอิน ว่าทั้งคมทั้งโด่งได้รูปเข้ากับใบหน้าที่สุด โดยริมฝีปากเอิบอิ่มของ ซองเฮเคียว ก็ครองเบอร์หนึ่งริมฝีปากที่สาว ๆ อยากมีมากที่สุดเช่นเดียวกัน
ขณะที่หน้าอกสุดเซ็กซี่นั้น ยกให้กับหน้าอกของ คิมเฮย์ซู ซึ่งว่ากันว่าสวยได้รูปไม่มากไม่น้อยจนเกินไป
ส่วนความสวยฉบับฮอลลีวูดนั้น สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งนานาชาติ (ISAPS) ได้ส่งแบบสอบถามไปยังศัลยแพทย์กว่า 20,000 คนในประเทศต่าง ๆ 84 ประเทศ เพื่อทำการสำรวจเกี่ยวกับอิทธิพลของเซเลบริตี้ต่อการตัดสินใจของคนไข้ที่มา ทำศัลยกรรม
พบว่าหน้าอกและริมฝีปาก เป็นอวัยวะที่ผู้หญิงเลือกทำศัลยกรรมตามเซเลบมากที่สุด ตามด้วยสะโพก จมูก และหน้าท้อง
โดยเมื่อแยกลงในแต่ละรายละเอียดนั้น พิมพ์นิยมในส่วนของหน้าอก ตกเป็นของ พาเมลา แอนเดอร์สัน แต่น่าแปลกว่า สาวอกตู้มรายนี้ครองอันดับหนึ่งของหน้าอกแบบไหนที่ไม่ชอบ ไปพร้อม ๆ กันด้วย
ตา และริมฝีปากที่สวยที่สุด ตกเป็นของ แองเจลิน่า โจลี ส่วนจมูกของ นิโคล คิดแมน นั้นก็เป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ทั่วโลก ขณะที่ตำแหน่งสะโพกสุดเซ็กซี่ยกให้กับ เจนนิเฟอร์ โลเปซ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก