Friday, February 4, 2011

ฉีดโบท็อกซ์เท้า สาวผู้ดีฮิต ใส่ส้นสูงสบาย



ศัลยกรรม


ฉีดโบท็อกซ์เท้า สาวผู้ดีฮิต ใส่ส้นสูงสบาย (ไทยรัฐ)
          แฟชั่นส้นสูงมาแรง สาวผู้ดีต่อคิวฉีดโบท็อกซ์เท้าแน่นคลินิก หวังใส่สบายไม่กัดเท้า ปาร์ตี้คริสต์มาสมีความสุข...

          สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ว่า "ฮาร์ลีย์ เมดิคอล กรุ๊ป" ศูนย์ศัลยกรรมการแพทย์รายใหญ่ของอังกฤษ เผยว่าขณะนี้ การฉีดโบท็อกซ์บริเวณใต้ฝ่าเท้า กำลังเป็นที่นิยมของบรรดาสาว ๆ ในกรุงลอนดอน

          มีรายงานว่าก่อนช่วงเทศกาลวันคริสต์มาสที่ใกล้จะถึงนี้ คุณสุภาพสตรีจองคิวยาว สำหรับฉีดโบท็อกซ์ใต้ฝ่าเท้า แม้ค่าใช้จ่ายจะสูงถึง 240 ปอนด์ หรือราว บาท 13,200 บาท ก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่เปิดอกสารภาพว่า มีความสุขมากกว่าควักกระเป๋าซื้อแผ่นเจลแปะรองเท้าราคาเพียง 2 ปอนด์ หรือ 110 บาท
          การฉีดโบท็อกซ์เพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่ส้นสูง สืบเนื่องมากจากแฟชั่นรองเท้า ที่มีดีไซน์หลากหลาย รวมถึงความสูงเกินมาตรฐาน สำหรับคุณสุภาพสตรีที่ไม่ยอมตกเทรนด์ จึงต้องจำทนแบกความทรมาน สวมใส่ต่อไป

          กระทั่งมีเทคโนโลยีโบท็อกซ์มาช่วยผ่อนคลาย แม้ศัลยแพทย์เผยว่า ไม่สามารถอยู่คงทนถาวรต้องฉีดเพิ่มทุก ๆ 2-3 เดือนก็ตาม


ขอบคุณข้อมูลจาก

พิษแห่งความงาม


ศัลยกรรม



พิษสงแห่งความงาม (กรุงเทพธุรกิจ)

โดย : ชฎาพร นาวัลย์

         อย่าแปลกใจไปถ้าคุณเห็นดาราจอแก้วและจอเงินอายุอานาม 40-50 ปีแต่ใบหน้ายังตึงไร้รอยตีนกาเหี่ยวย่นอย่าง ชารอน สโตน Sex Symbol

         เบื้องหลังใบหน้าที่ดูตึงไร้ตีนกาคือ การค้นพบประโยชน์ทางอ้อมของพิษต่อระบบประสาทของเจ้าแบคทีเรียร้ายนามว่า คลอสทริเดียม โบทูบินัม (Clostridium botulinum)

         แม้โปรตีนพิษของแบคทีเรียดังกล่าวมีฤทธิ์ถึงขั้นอันตรายแก่ชีวิต แต่วงการแพทย์พบว่าหากนำโปรตีนจำนวนน้อยนิดกระจิดริดมาใช้สามารถรักษาอาการ กล้ามเนื้อกระตุก ตากระพริบถี่ และอื่นๆ  แน่นอนว่า ชื่อเสียงของมันขจรขจายทางด้านความงามมากกว่า

         ก่อนที่มันจะโด่งดังจนคนเรียกมันติดปากว่าโบท็อกซ์ นพ.อลัน บี สก็อต จากสถาบันสมิธ-เคทเทิลเวล์สกัดใช้โปรตีนเป็นพิษต่อระบบประสาทโบทูลินัมชนิด เอ (BTX-A) มาทดสอบกับลิงเพื่อรักษาอาการตาเข ซึ่งเป็นปัญหามาจากกล้ามเนื้อ และองค์การอาหารและยาของสหรัฐ หรือเอฟดีเอได้รับรองให้ใช้ทางการแพทย์ในปี 2532

         ต่อมาอนุญาตให้ใช้ทางด้านศัลยกรรมความงามในปี 2547 และโบท็อกซ์กลายเป็นชื่อทางการค้าจากผู้ผลิตสหรัฐรายใหญ่นามว่า อัลเลอร์แกน อิงค์ เพื่อใช้ทั้งทางการแพทย์และความงาม

         ไม่ใช่แต่สหรัฐเท่านั้นที่ผลิตรถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ประเทศอุตสาหกรรมใหม่อย่างเกาหลีก็ผลิตแดวู, ฮุนได, ซัมซุง และแอลจี บุกตลาดโลกเช่นกัน นับประสาอะไรกับพิษแห่งความงาม

         เกาหลี ซึ่งกำลังสร้างชื่อเสียงด้านศัลยกรรม ให้เป็นแม่เหล็กดึงนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ ถึงขั้นก่อตั้งเครือข่ายระหว่างเอเยนซีทัวร์ ออนไลน์, องค์การบริหารจัดการโรงแรมเกาหลี และสถานบริการการแพทย์หลายแห่ง จับกลุ่มเป้าหมายชาวต่างชาติโดยเฉพาะ เชื่อมโยงบริการที่หลากหลาย ในราคาเป็นธรรม พร้อมทั้งความผ่อนคลายในการท่องเที่ยวเกาหลีให้มากที่สุด จนแต่ละคลีนิคมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติกว่า 20% แล้ว

         ดินแดนโสมสามารถคิดค้นเจ้าสารท็อกซินสำคัญตัวนี้ได้แล้วเช่นกัน
         ดร. ฮวน โฮ จุน ผู้วิจัยค้นคว้าชาวเกาหลีพบเทคนิคสกัดสารโบทูลินัมชนิดเอบอกว่า เขาศึกษาเรื่องนี้เป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว เดิมต้องการแค่ความเข้าใจในชีวิตจุลชีพตามประสานักวิจัย และนักวิทยาศาสตร์

         ครั้นพอมองเห็นศักยภาพทางเศรษฐกิจ แลเห็นว่าราคาของ BTX - A ในท้องตลาดน่าจะลดลงลดลงได้ 20-30% เขาจึงปั้นดาวดวงใหม่ในแบรนด์ของตัวเองแข่งกับโบท็อกซ์ของสหรัฐ ซึ่งมีชื่อเสียงที่ลมบนแล้ว

         ปี 2550 มูลค่าตลาดความอ่อนวัยด้วยสาร BTX-A ไม่ว่ามีชื่อการค้าว่าอะไรก็ตาม มีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านดอลล่าร์เลยทีเดียวในตลาดเกาหลีใต้ และจากสถิติผู้เข้าใช้บริการในคลีนิคแห่งหนึ่ง ระบุว่าจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 10% และมีเกณฑ์เพิ่มขึ้นทุกปี และเปลี่ยนพฤติกรรมนัดหมายจากต่อเดือนเป็นต่อสัปดาห์

         มันสามารถบ่งบอกความคลั่งไคล้สารโบทูลินั่ม ท็อกซินของคนเกาหลีได้ไม่น้อย

         เจ้าหน้าที่การตลาดสาวแห่งเมดิ-ท็อกซ์ ผู้ผลิตนิวโรน็อกซ์ วัย 28 ปี เล่าให้ฟังว่า ทัศนคติของหญิงสาวแดนโสม 90% คิดว่าตัวเองอ้วน และ 50% ตกลงปลงใจว่าต้องทำศัลยกรรมให้ได้ ตัวเธอเองก็ทำศัลยกรรมด้วยการฉีดสารโบทูลินั่มเช่นกัน โดยเลือกฉีดลดกราม ทำให้ใบหน้าเรียวขึ้น

         นายแพทย์ โซ ฮังเร แห่งคลีนิคผิวพรรณและความงาม Oh Kim Clinic บอกว่า ทำได้ทุกบริเวณที่มีกล้ามเนื้อยกเว้นบริเวณ คอ ต้นขา และหน้าอก เพราะจะมีความเสี่ยงและผลข้างเคียงค่อนข้างมาก 

         ฉะนั้นบริเวณสุดฮิตต้องยกให้ การฉีดเพื่อปรับแนวรูปคิ้ว หัวคิ้ว หางตา และหน้าผาก โดยจะให้ผู้ใช้บริการขมวดคิ้ว หยีตา และย่นหน้าผาก แล้วกำหนดจุดฉีดสำคัญลงไป
         รองลงมาคือ กล้ามเนื้อกราม ทำให้ขนาดใบหน้าและคางลดลงได้ถึง 20-30 % ซึ่งจะแตกต่างกันได้ในแต่ละคน แล้วแต่ขนาดโตมากน้อยของกล้ามเนื้อและขนาดของขากรรไกร

         ตามด้วย บริเวณน่อง แต่ประสิทธิภาพของตัวยาจะด้อยกว่าบริเวณอื่น เพราะกล้ามเนื้อบริเวณนี้มีการเคลื่อนไหวมาก

         คุณหมอเล่าต่อว่า อายุลูกค้าเฉลี่ยเข้ารับบริการตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป และ 35 ปีขึ้นไปมาใช้บริการมากที่สุด

         พฤติกรรมลูกค้าจะนิยมฉีด 2-3 แห่งบนใบหน้า แต่ละแห่งจำเป็นต้องฉีดมากกว่าหนึ่งจุด โดยจะคิดราคาต่างกันตามปริมาณรอยเข็ม เช่นพื้นที่เล็กๆจะอยู่ที่ 250 เหรียญ แต่กรามจะเพิ่มเป็น 600 เหรียญเป็นต้น
         ลูกค้าจะเป็นผู้เลือกว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์แบรนด์ไหน เป็นเหตุผลสำคัญให้ทุกคลีนิคจัดเตรียมทุกแบรนด์ไว้รองรับความต้องการ แต่ถ้าให้แพทย์แนะนำ พวกเขาย่อมนำเสนอสินค้าในบ้านก่อน เพราะราคาเบากว่า แต่จะเลือกใช้ของจีนสำหรับกล้ามเนื้อใหญ่เพราะยังต้องคำนวนปริมาณอัตราผกผัน +- 30% สำหรับป้องกันการแปรปรวนและความผิดพลาด

         ตลอดจนต้องทำหน้าที่เตือนลูกค้าดูแลรักษาและข้อควรระวังต่าง ๆ เช่น ระวังการกดทับใน 24 ชั่วโมงแรก หรือห้ามนวดหน้า นอนคว่ำ อาจนอนราบได้ แต่ไม่ควรก้ม ๆ เงย ๆ
         นอกจากสารโบทูลินั่มท็อกซิน จะใช้เพื่อต่อต้านริ้วรอยที่เกิดจากการแสดง อาการ เช่นรอยตีนกา รอยย่นแล้ว เรายังพบเทรนด์ลบริ้วรอยเพื่อต่อสู้ภาวะชรา  (Anti-Aging)  อีกชนิดหนึ่งที่กำลังนิยมตามมาติดๆ ในเกาหลี นั่นคือ เลเซอร์ สำหรับเอาชนะแสงแดด ดูแลเฉพาะเมลานีน เม็ดสี เซลล์ และกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน

         วัฒนธรรมห่วงสวยห่วงหล่อของคนเกาหลี ยังทำให้เกิดอุตสาหกรรม และเทคนิคดูแลเรือนร่างเกิดตามมานับไม่ถ้วน ไม่ ว่าจะเป็นเครื่องมือยกกระชับกล้ามเนื้อใช้ ร่วมกับเครื่องกรอผิว คอลลาเจนบริสุทธิ์ และทรีตเม้นต์เฉพาะบุคคล เน้นการป้องกัน ไม่ให้เกิดริ้วรอยขึ้นก่อนวัยอันควร แต่ต้องการส่งสารบำรุงเติมเต็มบำรุงชั้นผิวที่ลึกลงไป แถมยังช่วยลดริ้วรอยที่ได้เกิดจากการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ อาทิ กระ ฝ้า เป็นต้น

         คลินิคความงามกลางกรุงโซลจึงขวักไขว่ไปด้วยหนุ่มสาว ไม่เว้นแต่แม่บ้าน และพ่อบ้านที่นั่งรอคิวรอลิ้มชิมรสพิษแห่งความงาม

ขอบคุณข้อมูลจาก

ไทย vs กิมจิ พิมพ์ไหนชนะ




ไทย vs กิมจิ พิมพ์ไหนชนะ (กรุงเทพธุรกิจ)

        เซอร์เวย์กระแสศัลยกรรมความงาม แพทย์เผยสไตล์กิมจิแรงสุด ลูกค้าแห่ถือรูปดาราเกาหลีสวยตามสั่ง สาวไทยกระเป๋าหนักจ่อคิวสวยถึงโซล

         เมื่อผู้หญิงกับความสวยงามเป็นของคู่กัน จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเห็นบรรดาคุณเธอทั้งหลาย "ทุ่มทุนสร้าง"เพื่อเนรมิตตัวเองให้งามอย่างที่ใฝ่ฝัน เสื้อผ้าหน้าผม รวมทั้งกลเม็ดเด็ดพราย ต่างถูกงัดขึ้นมาใช้เพื่อเสริมตัวเองให้ดูงามขึ้นแทบ ทั้งนั้น กระทั่งลงทุน เจาะ เคาะ กรีด ผ่า แต่ถ้าสวยได้อย่างใจ สาวเจ้าก็จะทำ

         จากยุคหนึ่งของการทำศัลยกรรมที่เคยมีพิมพ์นิยมเป็นดาราดังอย่าง "นิ้ง กุลสตรี"เป็นต้นแบบความสวยหวาน ให้สาวไทยซึ่งฝันอยากจะสวยด้วยแพทย์ยึดเป็นต้นฉบับสำหรับอ้างอิงให้คุณหมอ ช่วยจัดการลงมีดเนรมิตใบหน้าให้ละม้ายคล้ายหรือเหมือนได้ก็ยิ่งดี

         เทรนด์ความสวยมีอันต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง โดยส่งไม้ต่อมายัง "อั้ม พัชราภา" ไต่อันดับขึ้นมาเป็นความสวยที่สาวไทยใฝ่ฝัน

         นอกจากความเป็นนางเอกอันดับต้น ๆ ของเมืองไทยแล้ว อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้อั้มครองตำแหน่งพิมพ์นิยมอย่างยาวนาน ก็เพราะหน้าสวย ๆ สไตล์อั้มนี่แหละที่ครองตำแหน่งสาวเซ็กซี่ในฝันของชายไทยมาแล้วจากหลายต่อ หลายสถาบันต่อเนื่องกันหลายปี

         ย้อนตำนานสวยสั่งได้

         ภาพความเปลี่ยนแปลงในทัศนคติเรื่องความสวยของสาวไทย เมื่อมองผ่านความต้องการในการทำศัลยกรรมนั้น นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี ต้นตำรับสวยด้วยแพทย์ของเมืองไทย ลำดับภาพการเปลี่ยนแปลงให้ฟังว่า

         ความอยากสวยในยุคแรกของสาวไทยซึ่งเดินมาขอให้แพทย์แปลงโฉมให้นั้น เป็นความสวยที่ตั้งอยู่บนความเป็นไปได้ โดยจะทำการบ้านหาข้อมูลมาแล้วพอสมควร ก่อนที่จะมาพบแพทย์เพื่อแจ้งความต้องการ

         "สิ่งแรกที่คนพวกนี้มองหาคือ ดาราต้นแบบซึ่งมีโครงหน้าใกล้เคียงกันกับโครงหน้าของตัวเอง โดยเปิดหาเอาจากนิตยสาร ดูว่าดาราคนไหนมีเค้าหน้าใกล้เคียงตัวเขามากที่สุด ถ้าโครงหน้าตัวเองคล้ายกับนางเอกคนไหน ก็พอจะจินตนาการออกได้ว่าถ้าทำตาเสียหน่อย เหลาจมูกอีกนิด ก็มีโอกาสที่จะสวยแบบนั้นได้เหมือนกัน"

         นี่คือเทรนด์สวยสั่งได้ในยุคแรกของเมืองไทย ซึ่งมาบนพื้นฐานของความเป็นไปได้

         แต่เมื่อคนไทยรู้จักและคุ้นเคยกับเรื่องศัลยกรรมตกแต่งมากขึ้น ก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วหมอทำได้มากกว่านั้น เรื่องจึงกลับกลายเป็นว่า ความสวยยกระดับไปสู่จินตนาการที่ไร้ขอบเขต

        "คนไข้ยุคถัดมาเป็นประเภทจินตนาการเต็มที่ เพราะคิดว่าหมอทำได้ทุกอย่าง บางคนหน้ากางรูปสี่เหลี่ยมตาเล็กนิดเดียวดั้งก็ไม่มี แต่เดินมาพร้อมกับรูปดาราฝรั่งตาโต โครงหน้าเรียวผอมมาเลย บอกว่าจะเอาแบบนี้ หมอก็ทำให้ไม่ได้ ในเมื่อชั้นผิวของคนไข้รายนั้นไม่เพียงพอ จะเอาจมูกโด่งเปี๊ยบแบบฝรั่ง โดยไม่ได้ดูเลยว่าผิวตัวเองยืดได้มากพอไหม ซึ่งพอเจอแบบนี้หมอก็ต้องปรับลดความต้องการลงมาให้เจอกันตรงกลาง"

         สิบปีที่ได้พบเจอสาว ๆ ผู้มีฝันและความหวังอยากจะสวยด้วยมือแพทย์นั้น ไม่ว่านิยามความสวยจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน แต่ นพ.สุพจน์ บอกว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยก็คือ ดารา นักร้อง คนดังทั้งหลาย ยังคงเป็นต้นแบบให้สาวๆ ใช้ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างเพื่อบอกความต้องการแก่แพทย์อยู่ดี

        นาทีนี้แม้ว่าความสวยสไตล์คมเฉี่ยวอย่างอั้มจะยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ความ สวยนิยามใหม่ ประเภท "ตาโต หน้าแบ๊ว" แบบนางเอกเกาหลี ก็กำลังเป็นอีกหนึ่งพิมพ์นิยมที่มาแรง และกลายมาเป็นไอดอลสุดฮิตอันดับต้น ๆ ของสาวไทยเมื่อคิดอยากจะทำศัลยกรรม

         แถมยังเกิดความเชื่อที่ว่า ถ้าจะทำหน้าแบบเกาหลี ก็ควรไปทำถึงประเทศต้นตำรับ แล้วจะได้ความสวยบล็อกเดียวกับนางเอกดังแบบไม่ผิดเพี้ยน พร้อมกับมีคำกล่าวอ้างต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าหมอเกาหลีมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าหมอไทย

         ข้อหานี้ นพ.สุพจน์ ได้ยินแล้วถึงกับปฏิเสธในทันที โดยบอกว่าโดยหลักการแล้ว ความแตกต่างระหว่างการทำศัลยกรรมของหมอไทยและเกาหลีนั้น แทบจะไม่มีเลย

        "ในแง่เทคนิค การทำศัลยกรรมโดยหมอไทยกับหมอเกาหลีแทบไม่ต่างกัน ยิ่งถ้ามาวัดกันที่ฝีมือแล้ว ผมว่าหมอไทยเหนือกว่าด้วยซ้ำ แต่สาเหตุที่มีคนไทยบินไปทำศัลยกรรมถึงประเทศเกาหลีมากขึ้นนั้น ก็เป็นเพราะกระแสเกาหลีที่กำลังมาแรง แถมภาครัฐส่งเสริมและสังคมก็เปิดกว้าง โดยรัฐบาลเกาหลีเองได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะขับเคลื่อนวงการแพทย์เกาหลี ก้าวขึ้นสู่การเป็น Medical Hub อยู่แล้ว จึงทำให้มีการสนับสนุนทั้งเม็ดเงินพัฒนาวิจัย ทั้งเปิดช่องให้ทำการตลาดได้หลากหลายกว่าไทย"

         ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเรา แม้ว่าคนไทยจะยอมรับเรื่องการทำศัลยกรรมมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ทัศนคติโดยรวมของสังคม ก็ยังมองว่าเรื่องเหล่านี้คือสิ่งฟุ่มเฟือยอยู่ดี

         เมื่อเปรียบมวยกันในด้านเทคนิคและฝีมือแล้วจะเห็นว่าไม่เป็นรองกัน แถมทำในไทยยังถูกกว่าเกาหลีราวเท่าตัว จึงไม่น่าแปลกใจที่มักได้ยินทั้งคำถาม คำบ่น ปนหมั่นไส้ว่า ทำไมสาวไทยหลายคน ต้องบินไกลถึงต่างแดนเพื่อหอบเงินแสนไปให้หมอชาวกิมจิ ผ่าตัดเสริมสวยให้ ทั้ง ๆ ที่หมอไทยเองก็ขึ้นชื่อนักหนา ถึงฝีมือและความประณีตชนิดติดอันดับโลก แถมราคาก็ยังถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง

         นพ.สุพจน์ เฉลยให้ฟังว่าทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพราะ "ค่านิยม"

         เกาหลี พิมพ์นี้สวยธรรมชาติ

         เมื่อเรื่องของเทคนิคตกไป โดยมีคำว่า "สไตล์" เข้ามาแทนที่ เชื่อว่าหลายคนคงผุดคำถามขึ้นในใจคล้ายกันว่า สวยสไตล์เกาหลีนั้นเป็นอย่างไร หน้า-ตา-จมูก-ปาก ต่างจากพิมพ์ไทยมากน้อยขนาดไหน

         หนูแหวน หรือ "แหวนแหวน" ปวริศา เพ็ญชาติ หนึ่งในผลิตผลจากมีดหมอเกาหลี ก่อนจะเข้าสู่ธุรกิจใหม่ถอดด้ามอย่างทัวร์ศัลยกรรม ส่งสาวไทยไปทำสวยที่เกาหลีอย่างเต็มตัว ในนามบริษัท ซีอาร์พี เอเชีย ร่วมกับพาร์ทเนอร์ชาวเกาหลี ขออาสาตอบคำถามนี้

         ทั้งด้วยในฐานะสาวไทยคนแรก ๆ ที่ยอมขึ้นเขียงให้หมอเกาหลีผ่าตัดเสริมจมูก และด้วยฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจทัวร์ศัลยกรรมเจ้าแรกและเจ้าเดียวของประเทศไทยในปัจจุบัน

         "สวยน่าเอ็นดู" คือ นิยามความสวยฉบับเกาหลี ซึ่ง "แหวนแหวน" ผู้คลั่งไคล้ในประเทศเกาหลีสรุปให้ฟัง

         "เวลาเราดูนางเอกเกาหลี ก็จะเห็นเค้าสวยจังเลย ตาโตแล้วก็เป็นชั้นเล็ก ๆ ส่วนจมูกก็โด่งแต่ไม่ได้ปลายเชิด คือปกติเวลาใส่จมูกแล้วปลายมันจะเชิด ๆ เหมือนจมูกหมู แต่นี่ไม่ใช่อย่างนั้น เราก็เอ๊ย ทำไมนางเอกเกาหลีน่ารักจัง คือสวยธรรมชาติ ประหนึ่งเกิดมาแล้วสวยแบบนี้เลย ซึ่งเราก็มารู้ทีหลังว่านี่คือสไตล์ของการทำศัลยกรรมที่นั่น"

         จุดนี้แหวนแหวน มองตรงกันข้ามกับ นพ.สุพจน์ ว่าสวยแบบเกาหลีนั้น อย่างไรเสียหมอไทยก็ไม่น่าจะทำได้

        "ถ้าถือรูปนางเอกเกาหลีไปให้หมอไทยทำให้ แหวนตอบตรง ๆ เลยนะว่าทำแล้วไม่เหมือนแน่ ๆ แหวนไม่ได้บอกว่าหมอไทยไม่เก่ง เพราะจริง ๆ หมอไทยฝีมือดีระดับโลกอยู่แล้ว เพียงแต่นี่คือเรื่องของเทคนิค ที่เกิดจากการคิดค้นของหมอที่ประเทศเกาหลีเอง"

         พร้อมกับยกตัวอย่างเรื่องการทำตาว่า ถ้าเป็นบ้านเราทำตาคือกรีดตาสองชั้น แต่ที่เกาหลีจะไม่ใช่ ที่เห็นว่านางเอกเกาหลี ตาโตนั้น ให้สังเกตว่าชั้นตาจะเล็กมาก แต่ทำไมตาถึงดูโต แหวนแหวนอธิบายว่านั่นเป็นเพราะจริง ๆ แล้ว หมอไม่ได้กรีดที่เปลือกตาอย่างเดียว แต่มีเทคนิคเย็บกล้ามเนื้อที่บังคับการเปิดปิดเปลือกตาร่วมด้วย โดยจะกรีดตาเพียงนิดเดียว ประมาณ 5 มิลลิเมตร แถมยังไม่ได้ทำแค่ตาสองชั้นเท่านั้น เพราะหมอที่นั่นทำได้ถึงขั้นเปลี่ยนรูปทรงตาอีกด้วย

         เทคนิคขั้นเทพ

         ด้วยความที่การทำศัลยกรรมเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างในประเทศเกาหลี โดยมองว่านี่คือการลงทุนให้กับตัวเอง เพื่ออนาคตหน้าที่การงานที่จะมีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้น จึงทำให้คนหนุ่มสาวส่วนมากตัดสินใจผ่าตัดเปลี่ยนรูปโฉม จนทำให้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมนี้ทวีจำนวนขึ้นเป็นมหาศาล

         โดยจำนวนของหมอศัลยกรรม เฉพาะที่กรุงโซลเมืองเดียวพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วงเวลาแค่ 5 ปี คือ นับจากปี ค.ศ.2000 มาจนถึง ค.ศ.2005 นั้น ปรากฏว่ามีหมอศัลยกรรมมากขึ้นถึง 45 เปอร์เซ็นต์ จาก 926 คนมาสู่ 1,344 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกันกับ จำนวนหมอศัลยกรรมที่เมืองแคลิฟอร์เนีย อันเปรียบได้กับเมืองหลวงของคนอยากสวยที่สหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว

        ขณะที่ทัศนคติเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมของคนเกาหลีนั้น ถือเป็นเรื่องธรรมดาคล้ายกับตื่นมาแล้วบอกว่าจะไปเดินชอปปิ้ง โดยมีผลวิจัยบอกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มอายุ 18-24 ปี และ 60 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนอายุ 25-29 ปี เคยผ่านมีดหมอศัลยกรรมมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง

         นั่นย่อมเท่ากับเม็ดเงินมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็ส่งเสริมให้มีการพัฒนาวิจัยต่อเนื่อง ตามโรดแมปที่ต้องการจะเป็น Medical Hub อยู่แล้ว จึงอำนวยให้มีการคิดค้นวิธีการต่าง ๆ นานา เกิดเป็นเทคนิคละลานตาซึ่งแพทย์ชาวเกาหลีคิดค้นขึ้นมาได้

        "อย่างการฉีดโบท็อกซ์เข้าไปเพื่อลดกรามให้หน้าเล็กลง ก็เริ่มต้นขึ้นที่เกาหลี ไม่ใช่อเมริกาอย่างที่หลาย ๆ คนคิดกัน ส่วนเรื่องทำจมูกที่เกาหลีก็จะใช้วัสดุที่เรียกว่ากลอเท็กซ์ ซึ่งแพงกว่าซิลิโคนเยอะมาก แต่ก็นิ่มมาก มีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมชาติ โดยนิ่มเหมือนเป็นกระดูกอ่อนได้เลย แล้วก็ใส่ยาวลงมาถึงปลายเลย ปากนางเอกเกาหลีเลยออกจะเชิดเล็กน้อย ซึ่งก็กลายเป็นดูน่ารักไปอีกแบบ แต่กลอเท็กซ์ก็มีข้อเสีย หากว่าคิดเปลี่ยนใจอยากเอาออกตอนหลังก็จะลำบากกว่าซิลิโคน" แหวนแหวนอธิบาย

         สวยราคาโซล.. โซล

         สำหรับสาวไทย ที่อยากจะไปขึ้นเขียงให้หมอเกาหลีแปลงโฉมผ่านทัวร์อย่างที่บริษัทแหวนแหวนทำ อยู่นั้น สำหรับตาและจมูกราคาขั้นต่ำ จะอยู่ที่ 140,000 บาท สำหรับคนที่ไม่เคยผ่านมีดหมอเลย แต่โดยทั่วไปแล้วราคาจะเฉลี่ยที่ 250,000 บาท และจะอัพขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามแต่เคสความยาก และ ความหรูของการเป็นอยู่ที่ลูกค้าต้องการ

         เพราะแพ็คเกจทัวร์ที่จัดขึ้นจะรวมตั้งแต่ค่าเดินทาง ที่พัก อาหารการกิน ค่าทำศัลยกรรม จนถึงบริการหลังจากผ่าตัด (After Care) ที่เมืองไทย ซึ่งทั้งหมดนั้น แล้วแต่ลูกค้าจะดีไซน์ความต้องการเองว่าอยากได้ขนาดไหน

         ที่เคยจ่ายแพงสุดนับตั้งแต่เปิดบริษัทมามีลูกค้าผ่านมือแล้วเกือบ 40 รายนั้น แหวนแหวนเล่าว่ามีอยู่หนึ่งเคสที่หมอคิดแพงมาก เพราะเคยทำตาและจมูกมาแล้วหลายครั้ง ทำให้คุณหมอแก้ยากขึ้น แถมยังซื้อแพ็คเกจแบบส่วนตัว คือไปคนเดียว เบ็ดเสร็จเช็คบิลมา ราคาอยู่ที่ 850,000 บาท

         โดยแม้ว่าเศรษฐกิจจะตกสะเก็ดขนาดไหน แหวนแหวนบอกว่า ธุรกิจนี้คงไปได้อีกยาว เพราะอย่างไรเสีย ผู้หญิงก็ให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยความงามอยู่ดี ล่าสุดแง้มให้ฟังว่ามีสาว ๆ ไทยจองคิวรอจะร่วมขบวนกับแหวนแหวนอีกไม่ต่ำกว่า 80 ราย

        แต่สำหรับคนที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิตเพื่อการนี้ เพียงแค่เพราะอยากสวยนั้น แหวนแหวนไม่แนะนำให้ไปทำ เพราะค่าใช้จ่ายสูง โดยเงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถไปทำอย่างอื่นที่จำเป็นกว่าได้อีกมาก

         "แหวนว่า เรื่องการทำศัลยกรรมที่เกาหลีนี่ถ้าไม่พร้อมเรื่องเงินจริง ๆ อย่าทำดีกว่า เสียดายเงิน แต่ถ้าคิดจะเสริมบุคลิกเพื่อช่วยเรื่องหน้าที่การงาน สำหรับคนที่ต้องใช้หน้าตาทำมาหากินนั้น ถ้าจ่ายไหว ก็โอเค เพราะยิ่งเศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ จะลงทุนทำทั้งที หลายคนยอมจ่ายแพงไปเลย เพื่อแลกกับความชัวร์ ก็น่าจะดีกว่าทำแล้วไม่พอใจหรือต้องมาเสียเงินเสียเวลาแก้ทีหลัง"

         พูดถึงว่าเริ่มต้นที่ 140,000 บาทแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นราคาขั้นต่ำหรือขั้นสุด ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่าไม่ใช้เงินน้อย ๆ เลยเมื่อเทียบกับค่าครองชีพบ้านเรา หากว่าเงินในกระเป๋าไม่พร้อมถึงขั้นนั้น ลองพับแผนตาโตหน้าแบ๊วใส่กระเป๋า และงัดเอารายชื่อโรงพยาบาล คลินิค รับทำศัลยกรรมในไทยซึ่งมีอยู่นับร้อยแห่ง ขึ้นมาพิจารณาแทนก็น่าจะได้

         เมื่อเวลายังหมุนเปลี่ยน ความรักชอบ ค่านิยมของคนเราย่อมเปลี่ยนได้ด้วยเช่นกัน ใครจะรับประกันได้ว่านิยามความสวยวันนี้จะยังเป็นเทรนด์ในวันพรุ่งนี้และตลอดไป พร้อมจะลงทุนขนาดไหน เรื่องอย่างนี้คงต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคน

         ต้นฉบับความสวย

         สำหรับดวงตา ซึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ของคนที่ทำศัลยกรรมนั้นได้ยกให้ ตา ของนางเอกสาวหวานอย่าง คิมแตฮี เป็นที่ใฝ่ฝันของสาว ๆ เกาหลีมากที่สุด พร้อมกับยกให้จมูกของสาว ฮันกาอิน ว่าทั้งคมทั้งโด่งได้รูปเข้ากับใบหน้าที่สุด โดยริมฝีปากเอิบอิ่มของ ซองเฮเคียว ก็ครองเบอร์หนึ่งริมฝีปากที่สาว ๆ อยากมีมากที่สุดเช่นเดียวกัน

         ขณะที่หน้าอกสุดเซ็กซี่นั้น ยกให้กับหน้าอกของ คิมเฮย์ซู ซึ่งว่ากันว่าสวยได้รูปไม่มากไม่น้อยจนเกินไป

         ส่วนความสวยฉบับฮอลลีวูดนั้น สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งนานาชาติ (ISAPS) ได้ส่งแบบสอบถามไปยังศัลยแพทย์กว่า 20,000 คนในประเทศต่าง ๆ 84 ประเทศ เพื่อทำการสำรวจเกี่ยวกับอิทธิพลของเซเลบริตี้ต่อการตัดสินใจของคนไข้ที่มา ทำศัลยกรรม

         พบว่าหน้าอกและริมฝีปาก เป็นอวัยวะที่ผู้หญิงเลือกทำศัลยกรรมตามเซเลบมากที่สุด ตามด้วยสะโพก จมูก และหน้าท้อง

         โดยเมื่อแยกลงในแต่ละรายละเอียดนั้น พิมพ์นิยมในส่วนของหน้าอก ตกเป็นของ พาเมลา แอนเดอร์สัน  แต่น่าแปลกว่า สาวอกตู้มรายนี้ครองอันดับหนึ่งของหน้าอกแบบไหนที่ไม่ชอบ ไปพร้อม ๆ กันด้วย

         ตา และริมฝีปากที่สวยที่สุด ตกเป็นของ แองเจลิน่า โจลี ส่วนจมูกของ นิโคล คิดแมน นั้นก็เป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ทั่วโลก ขณะที่ตำแหน่งสะโพกสุดเซ็กซี่ยกให้กับ เจนนิเฟอร์ โลเปซ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

Monday, January 26, 2009

แต่ปางก่อน






หญิงสาวรูปร่างปราดเปรียวคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายแบบสบายๆ เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวกับกางเกงยีนส์สีดำเดินเส้นด้วยด้ายสีขาว ก้าวเท้าไปบนทางเท้าอย่างเร่งรีบ ผมยาวสลวยของเจ้าตัวถูกรวบถักเป็นเปียแกว่งไกวไปตามจังหวะการก้าวเดิน ดูเหมือนเธอกำลังรีบร้อนไปไหนสักที่ เดินผ่านรถยนต์สีน้ำเงินเข้มซึ่งคนขับเป็นชายหนุ่มร่างสูงเปิดประตูรถลงมา ทันเห็นพอดี

"ฟ้า... จะรีบไปไหน รอด้วยสิ"

ศริทส่งเสียงเรียก แต่กระนั้นก็ตาม น้ำฟ้าก็มิได้ชะลอฝีเท้าแต่อย่างใดคล้ายไม่ได้ยินที่เขาพูด ชายหนุ่มจึงวิ่งไปยืนดักหน้าเธอไว้และได้ผล หญิงสาวหยุดเดิน

"อ้าว...ริทมาขวางฟ้าทำไม" แม้น้ำเสียงราบเรียบแต่ใบหน้าสวยนั้นบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

"นึกว่าฟ้าจะดีใจที่เห็นริท กลับเป็นโกรธซะนี่" เขาตัดพ้ออย่างน้อยใจ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้สังเกต ตอบไปว่า

"ก็แน่หล่ะ คนกำลังรีบ ก็มายืนขวาง"

"ฟ้าจะรีบไปไหนเหรอ?"

"ฟ้าจะไปบ้านสวน ลืมของไว้จะไปเอา แล้วตอนนี้ก็จะสี่โมงกว่าแล้ว เดี๋ยวติด"

"ให้ริทไปเป็นเพื่อนไหม?"

เขาถามอย่างเป็นห่วง ทำให้เธอคลายความไม่พอใจลง ยิ้มให้ กล่าวปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

Sunday, January 25, 2009

รัตติกาลยอดรัก (Complete)


รัตติกาลยอดรัก

รัตติกาลยอดรัก เป็นละคร แนว โรแมนติกแฟนตาซี
นำแสดงโดย จอนนี่ แอนโฟเน่, แอน ทองประสม, ภัคจีรา วรรณสุทธิ์

ออกอากาศ ทุกวันพุธ-พฤหัสบดี เวลา 20.20 น.

ดร.จักรกฤษณ์ อิสราลักษณ์ ชอบ ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ เรื่องราวของวิญญาณ และสิ่งลี้ลับเขา มีอำนาจพิเศษเหนือคนปกติ คือ สามารถมองเห็นและติดต่อกับวัญญาณได้ คนในบ้านมองว่า เขาผิดปกติเพราะ ว่าเขาชอบพูดคนเดียว ดังนั้น แม่ของเขาจึงส่งไปตรวจ ที่โรงพยาบาลแต่ก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไร จักรกฤษณ์ทราบเรื่องที่แม่ของเขาซื้อวังโบราณ ชื่อ สนธยา เขาเห็นว่า ที่นั่นเงียบสงบเหมาะ กับ การเขียน วิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ จึงขออนุญาตไปใช้ทำงานในเวลากลางคืน วันแรกที่เขาเข้า ไปทำงาน ในวังก็สามารถสัมผัสวิญญาณต่าง ๆ ในวัง ทำให้เขารู้สึกสนุก กับการเขียนวิทยานิพนธ์เรื่อง ผี ๆ มาก

แต่ที่ ทำให้เขาต้องประหลาดใจก็คือการได้พบสาวน้อยผมยาวสวยดั่งนางฟ้าโผล่มารบกวนจิ ดใจในยามค่ำคืน สาวน้อยลึกลับยัง คงตามตอแย พูดคุยเล่าเรื่องแปลก ๆ ให้เขาฟังทุกคืน ซึ่งทำให้ จักรกฤษณ์ แปลกใจขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเธอสามารถ รู้เห็น เหตุการณ์ล่วงหน้า รู้ความเป็นไปของเขาในแต่ละวันเหมือน อยู่ในเหตุการณ์ด้วย

วันหนึ่งเขาก็ได้รู้ว่าเธอ ชื่อ รัตติกาล จักรกฤษณ์ เริ่มผูกพันกับ รัตติกาล มากขึ้น จนต้องไปหาเธอ ที่วังสนธยา ทุกวัน เพื่อพูด คุยกับเธอ รัตติกาลคอยเตือนเขาอยู่เสมอว่า อย่าไปยุ่งกับเรื่องคนอื่น เพราะจะนำ ภัยมาถึงตัว แล้วภัยก็มาถึงตัวจนได้เมื่อผีโจรร้าย 3 ตัว ตามมาจองเวรอาฆาต ทำให้ ดร.หนุ่มเกือบจะเป็น อันตรายถึงชีวิต คืนหนึ่งที่วังสนธยาจักรกฤษณ์ คิดล่วงเกินรัตติกาล ทำให้เธอตกใจมาก เพราะการกระทำ เช่นนี้จะทำให้อิทธิฤทธิ์ของเธอสูญสลายได้ และเธอได้หายตัวไป เขาจึงต้องถอดจิตของตัวเองออกมา และ ก็ได้พบ กับเธอจริง ๆ รัตติกาลบอกให้รีบกลับเข้าร่าง เพราะผีร้าย 3 ตัว กำลังทำร้ายร่างกายของเขา แลัววัน หนึ่งที่รัตติกาลจะ ต้องไปจาก โลกนี้จริง ๆ เธอจึงมาบอกลาจักรกฤษณ์ ดร.หนุ่มอ้อนวอนให้เธออยู่กับเขา ตลอดไป รัตติกาลบอกให้เขารอไปอีก 18-19 ปี เพราะถึง ตอนนั้นเธอจะสามารถเลือกมาเกิดเป็นคนได้ จักรกฤษณ์สัญญาว่าเขาจะรอเธอ

Saturday, January 24, 2009

:: ประวัติย่อ :: แอน ทองประสม























:: ประวัติย่อ ::

การศึกษา

* โรงเรียนวัดเทพลีลา
* โรงเรียนบางกะปิ
* วิทยาลัย สถาบันราชฏสวนดุสิต
* ปริญญาตรีนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
* ปริญญาตรี MCA มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ละครโทรทัศน์

* ไผ่ลอดกอ ช่อง 3
* ชิงช้าชาลี ช่อง 7
* หมูแดง ช่อง 7
* เจ้าจอม ช่อง 9
* เวลาในขวดแก้ว ช่อง 3
* นางเอก ช่อง 5
* ปีหนึ่งเพื่อนกันกับวันอัศจรรย์ของผม ช่อง 7
* สามใบไม่เถา ช่อง 3
* เพลิงบุญ ช่อง 3
* ปราถนาแห่งหัวใจ ช่อง 3
* ร้อยรสบทละคร ตอน สะพานรุ้ง ช่อง 3
* สองนรี ช่อง 3
* สายรุ้ง ช่อง 3
* จากฝันสู่นิรันดร ช่อง 3
* คุณหนูอารมณ์ร้าย กับ ผู้ชายปากแข็ง ช่อง 5
* ปัญญาชนก้นกลัว ช่อง 3
* เจ้าสาวปริศนา ช่อง 3
* รัตติกาลยอดรัก ช่อง 3
* มณีหยาดฟ้า ช่อง 3
* สุดดวงใจ ช่อง 3
* สามีตีตรา ช่อง 3
* แรงเงา ช่อง 3
* เสื้อสีฝุ่น ช่อง 3
* นางโชว์ ช่อง 3

ภาพยนตร์

* โก๊ะจ๋าป่านะโก๊ะ 1991 - สันติสุข พรหมศิริ, วรุฒ วรธรรม, จักรกฤษณ์ อำมรัตน์
* เจาะเวลาหาโก๊ะ 1992 - สันติสุข พรหมศิริ
* อนึ่งคิดถึงพอสังเขป 1992 - จักรกฤษณ์ อำมรัตน์, เจน โมนิก้า
* แดดร้อนลมแรงความรักกำลังจะมา 1992 - หนุ่ม ศรราม
* หอบรักมาห่มป่า 1994 - จักรกฤษณ์ อำมรัตน์, วินัย ไกรบุตร, จันจิรา จูแจ้ง
* อมาดิอุส (ละครเวที) 1996 - ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร
* เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก 2004 - หนุ่ม อรรถพร ธีมากร

รางวัล

* TV Gold Awards 2000 Best Actress (จากละคร เจ้าสาวปริศนา)
* รางวัลผลงานบันเทิงดีเด่น 2544 (Star Entertainment Awards 2002) รางวัลผู้แสดงนำดีเด่นหญิง (จากละครเรื่อง แรงเงา)
* รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม "สุพรรณหงส์ทองคำ" ปี 2547 เรื่อง เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก
* รางวัลผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ของชมรมวิจารณ์บันเทิง ประจำปี 2547 เรื่อง เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก
* นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม "คมชัดลึก อวอร์ด" ประจำปี 2547 เรื่อง เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก
* รางวัลผู้แสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สตาร์เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2004) จากเรื่อง เดอะ เลตเตอร์ จดหมายรัก